หากผมเป็นรั ฐบาล ผมจะ” ธน าธร เผยวิธีแก้ปัญหาโควิด

หากผมเป็นรัฐบาล ผมจะ

1.เปิดเผยบันทึกการสอบสวนโ ร คในส่วนของรายละเอียดการเดินทาง การใช้ชีวิตในวัน เวลา และสถานที่ต่าง ของผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้(โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล) เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบจริง และประเมินได้ถูกต้องว่าแต่ละคนมีความ เ สี่ ย ง เข้าใกล้ผู้ติดเชื้อมากน้อย ไหน (ในส่วนนี้ กระทรวงสาธารณสุขกล่าวเมื่อวานทำนองว่าอยู่ในแผนที่จะต้องทำอยู่แล้ว เปิดเผยอยู่แล้ว แต่ผมเข้าใจว่ายังไม่มีการทำอย่างจริงจังในรูปแบบที่ดูง่าย ละเอียด และไม่กระจัดกระจาย ดังนั้น ผมขอเสนอตัวเพื่อช่วยกระทรวงสาธารณสุขในการนำเสนอรายละเอียดพวกนี้ด้วยอีกแรงหนึ่ง เรามีทีมงานที่พร้อมนำข้อมูลมาเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย หากท่านสนใจก็สามารถติดต่อเข้ามาได้เลย ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง)

2.ทุ่มสรรพกำลังทุกทางเพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้การตรวจเชื้อให้ทำในเชิงรุกและกว้างขวางมากขึ้นอย่างน้อย 10 เท่า และผู้คนทั่วไปต้องเข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้นด้วย วิธีการเช่นนี้อาจจะทำให้เราเสียงบประมาณและทรัพย ากรไปมากพอสมควร แต่ก็ไม่มากเกินไปสำหรับการทำให้เราทราบได้ว่าแท้จริงแล้วมีผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ทั่วไปจริงหรือไม่ หรือในประเทศเราไม่ได้มีผู้ติดเชื้อมากขนาดนั้นและยังอยู่ในวงจำกัดกับเคสก่อนหน้า ซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเราไปอยู่ระดับไหนแล้วกันแน่

และเราควรขย ายนิย ามผู้ป่ ว ยต้องสงสัย(Suspected Case) ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก(WHO)ให้มีความหมายกว้างและไวขึ้น เพื่อให้เราล้ำหน้าสถานการณ์ไปอีกขั้น เพื่อให้เคสอย่างแมททิว-เซียนมวยบางคนไม่ต้องดิ้นรนไปตรวจเอง(แล้วพบว่าติดเชื้อซะด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับความสะดวกในการตรวจจากโรงพย าบาลรัฐเนื่องจากข้อจำกัดของการคัดกรองในปัจจุบัน)

3.เ รื่ อ งหน้ากากอนามัย คงเป็นที่ชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรามีหน้ากากไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนเป็นแน่แท้ ทางออกเดียวของรัฐบาลตอนนี้คือการรณรงค์ให้ปฏิบัติตามแนวทางของ WHO ว่าถ้าไม่ป่ ว ย ไม่มีอาการ หรือไม่ เ สี่ ย ง ก็ไม่ต้องใส่ เพื่อให้มีสินค้ามากเพียงพอสำหรับผู้ที่จำเป็น ได้แก่ผู้ป่ ว ยและบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ต้องอยู่ในจุด เ สี่ ย ง

สำหรับประชาชน

1.เริ่มใช้มาตรการ Social Distancing หรือ “การรั กษ าระยะห่างทางสังคม” อย่างเป็นทางการ ลดละและหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากจำเป็นต้องพบเจอก็ต้องรั กษ าระยะห่างและรั กษ าความสะอาดตลอดเวลา

2.ศึกษาและใช้มาตรการ Self-quarantine หรือ “การกักตนเอง” อย่างจริงจังเมื่อพบว่าตัวเองเป็นกลุ่ม เ สี่ ย ง หรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้

3.ไม่จำเป็นต้องกักตุนสินค้า แต่ต้องลดความถี่ในการไปจับจ่ายใช้สอยลง เพื่อลดความ เ สี่ ย ง ในการติดเชื้อ

4.เนื่องจากสถานการ์ข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและทรัพย ากรบางประการทำให้การตรวจไม่เป็นไปอย่างกว้างขวางและจำนวนมากเท่าที่ควรจำเป็นตามที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเราอาจไม่ได้รับการตรวจเชื้อ แม้จะมีความ เ สี่ ย ง หรือมีอาการน่าสงสัย ดังนั้นผมจึงเสนอว่าผู้ที่สงสัยว่าตัวเองติดเชื้อหรือมีอาการ ให้ทำการ self-quarantine ไปเลยโดยไม่ต้องรอการยืนยันผลตรวจจากทางการ และจะออกสาธารณะอีกครั้งก็ต่อเมื่อพ้นระยะเวลาต้องเฝ้าสังเกตอาการแล้ว หรือเมื่อจำเป็นต้องเขารับการรั กษ าในโรงพย าบาล

5.โควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเดียว แต่ยังส่งผลรุ นแร งต่อการทำมาหากินของประชาชนด้วย ดังนั้น หากเป็นไปได้ ก็ต้องช่วยอุดหนุนสินค้าบริการของประชาชนด้วยกันเองก่อนที่จะไปอุดหนุนกลุ่มทุนใหญ่(ที่สายป่านย าว ไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับประชาชนหาเช้ากินค่ำ)

6.ผมไม่สามารถพูดได้ว่า “ตระหนัก แต่ไม่ตระหนก” เพราะคนเราจะตระหนกหรือไม่นั้นเป็นเ รื่ อ งส่วนตัวของบุคคลในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่สำหรับผม การที่เราจะใช้มาตรการเข้มงวดจริงจังตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นน่าจะเป็นผลดีมากกว่าในการควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปจนเราควบคุมไม่อยู่ (และหากควบคุมไม่อยู่ ก็จะมีผู้ป่ ว ยหนักจำนวนมาก ทำให้เตียงและหน่วยดูแลทางการแพทย์มีไม่พอ ทำให้เราอยู่ในสถานการณ์แบบอู่ฮั่นในช่วงแรก หรือแบบอิตาลีในตอนนี้ ที่แพทย์จะต้องเลือกว่าใครจะอยู่หรือจะไป และส่วนใหญ่ก็จำใจเลือกคนหนุ่มสาวก่อนผู้สูงอายุเพราะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า ซึ่งผมไม่อย า กให้เป็นเช่นนั้น) ดังนั้นมาตรการเหล่านี้ หากเราใช้อย่างจริงจังล่วงหน้าไปเลย น่าจะดีกว่าที่เราจะมาเสียใจในภายหลัง