“ชาญกฤช” วอนประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องโควิด-19 ระบาด

“ชาญกฤช” วอนประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องโควิด-19 ระบาด

“ชาญกฤช” วอนประชาชนปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 พรุ่งนี้ ยกระดับคุมต่างชาติเข้าประเทศ

วันที่ 21 มี.ค. 2563 นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวว่า อย า กวิงวอนให้พี่น้องประชาชนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไ ว รั สโควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากไม่จำเป็นควรงดเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงงดการเข้าร่วมกิจกssมในสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด ขอแสดงความชื่นชมหลายหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ ซึ่งอนุญาตให้ทำงานที่บ้านและประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ รวมถึงเจ้าของโรงแรมในจังหวัดนครราชสีมา ที่เสนอให้ใช้พื้นที่ของโรงแรม เปลี่ยนเป็นโรงพย าบาลสนามรองรับผู้ป่ ว ยขนาด 500 เตียง และอีกแห่งจำนวน 183 ห้อง จนกว่าภารกิจจะแล้วเสร็จ รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการจากวิกฤติโควิด-19 และจะมีการนำมาตรการชุด 2 มาใช้ในสถานการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเยียวย าผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนต่อไป

สำหรับการยกระดับคุมเข้มผู้เดินทางเข้าประเทศ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มีนาคม 2563 กรณีเป็นชาวต่างชาติจะต้องมีใบรับรองแพทย์ (Health Certificate) ที่ระบุว่าไม่ติดเชื้อไ ว รั สโควิด-19 และจะต้องซื้อประกันภัยที่คุ้มครองการรั กษ าพย าบาลในประเทศไทยอย่างน้อย 100,000 เหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3 ล้านบาทต่อคน) และครอบคลุมโ ร คติดเชื้อไ ว รั สโควิด-19 รวมถึงจะต้องมีการกรอกข้อมูลว่ามาประเทศไทยพักอยู่ที่ไหน ในส่วนที่เป็นคนไทยที่จะเข้ามาประเทศไทย จะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศ (Fit to Fly Health Certificate) และหนังสือรับรองจากสถานทูตหรือสถานกงสุล รับรองว่าเป็นคนไทย และเข้ามาประเทศไทย พักอาศัยเป็นระยะเวลาเท่าไร

“ขอให้พี่น้องประชาชน อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ สกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไ ว รั สโควิด-19 หากรู้ว่ามีความสุ่ม เ สี่ ย ง ที่จะติดเชื้อ ขอให้กักกันตนเองเป็นเวลา 14 วัน รวมถึงส่งมอบกำลังใจให้ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ในการรั กษ าผู้ป่ ว ยตามสถานพย าบาลและโรงพย าบาลต่าง อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”